มาดูคำนิยามที่ copy เขามาก่อน "ไลฟ์โค้ช (Life Coach) หรือโค้ชชีวิต หมายถึง ผู้ที่มีศาสตร์ในการไกด์แนวทางคนและคอยเป็นที่ปรึกษาให้เห็นถึง...
มาดูคำนิยามที่ copy เขามาก่อน "ไลฟ์โค้ช (Life Coach) หรือโค้ชชีวิต หมายถึง ผู้ที่มีศาสตร์ในการไกด์แนวทางคนและคอยเป็นที่ปรึกษาให้เห็นถึงวิธีการแก้ปัญหา และการไปสู่เป้าหมายชีวิต" วันนี้ขอเขียนเรื่องนี้ เพราะมันมีประเด็นฮ๊อต และเคยติดใจกับคนที่ทำงานในลักษณะนี้เหมือนกัน
ผมเคยได้ยินอาชีพในลักษณะแบบนี้มากว่า 10 ปี มีอยู่ครั้งหนึ่งฟังรายการวิทยุ ทางพิธีกรก็นัดสัมภาษณ์โค้ชอะไรซักอย่าง ประมาณว่าคิดบวกอะไรประมาณนี้ ช่วงท้ายของรายการ ทางพิธีกรได้ยิงคำถามบางอย่าง ต้องขออภัยที่จำคำถามไม่ได้แล้ว เพราะมันก็ผ่านมาเป็น 10 ปีแล้วเช่นกัน ที่ผมไม่ได้คำตอบว่ามันมีประโยชน์อะไรกับชีวิต การตอบคำถามของโค้ชคนนั้นตอบไม่ตรงคำถามเหมือนคนไม่ค่อยมีประสบการณ์ในชีวิตซักเท่าไร ผมก็ไม่ใช่ว่ามีประสบการณ์อะไรมากมาย แต่ผมแค่รู้สึกว่า "ไร้สาระสิ้นดี"
เคยเห็นวีดีโอคนที่ไปสัมนาอะไรซักอย่างคล้ายๆ แบบนี้ มีส่งเสียง "เฮ่" "อ้าาาา" หรืออะไรบางอย่างเสียงดังๆ เพื่อปลดปล่อยอะไรบางอย่างออกมา หลังจากสัมนาหลายคนรู้สึก active มีพลังอย่างล้นเหลือ แต่เชื่อเถอะ มันเป็นแค่ไฟลามทุ่ง มันอยู่กับเราไม่นาน ถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือ สันดานเราเป็นอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น นอกจากจะมีจุดพลิกผันในชีวิตจริงๆ ที่ทำให้เราต้องเปลี่ยน นั่นแหละถึงจะทำให้เราเปลี่ยนได้
การคิดบวก การเพิ่มพลังใจในตนเอง มันอยู่ที่ตัวเราเอง และสิ่งแวดล้อมที่เราอยู่ก็มีผลมากด้วยเช่นกัน แต่สำหรับตัวผม เรื่องพลังภายในผมมีเยอะ นั่นเป็นเพราะว่าเราผ่านอะไรมาเยอะ รวมถึงเรื่องราวเฉียดตายถึงขั้นนอนโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์ก็ยังมี
ชีวิตของคนเรามันมีจุดเปลี่ยน บางครั้งเราคาดการณ์ หรือมองเห็นบางสิ่งบางอย่างในอนาคตจากการสังเกตุ ณ ปัจจุบัน เราจำเป็นต้องเปลี่ยน
เมื่อ 5-6 ปีก่อน ผมรู้จักคนขายกาแฟอยู่คนหนึ่ง ผมมักไปสั่งกาแฟดื่มประจำหลังอาหารกลางวัน และทุกครั้งก็จะบ่นเกี่ยวกับกิจการร้านค้าว่าไม่ค่อยดี แต่มีโปรเจคอยู่บ้างที่คิดไว้และเล่าให้ผมฟังเสมอ จนมาวันหนึ่งผมรู้สึกว่า มันก็แค่คำบ่นกับปัญหาปัจจุบันที่ทำอยู่โดยไม่คือจะเปลี่ยนแปลงอะไร จนผมต้องพูดกับคนขายกาแฟคนนั้นว่า "ผมจะบอกอะไรน๊ะ คนเราส่วนใหญ่มักไม่ชอบเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่จะเปลี่ยนได้เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างมาบังคับให้เราเปลี่ยน แต่นั่นอาจสายเกินไป หรือทำให้ชีวิตเราลำบากมากขึ้น ถ้าเปลี่ยนวันนี้ หรือค่อยๆ เปลี่ยน มันก็ดีซ่ะกว่าจะที่โดนบังคับไม่ใช่หรือ" ผมก็พูดไปอย่างนั้นเผื่อว่าเขาจะคิดอะไรได้ แต่ก็ไม่ เพราะทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม จนถึงเหตุการณ์ที่ไม่สามารถหาทางออกได้ ร้านกาแฟนั้นก็ต้องยุบไป แล้วย้ายไปที่ใหม่ แต่ก็คงขายกาแฟเช่นเดิม
ในลักษณะคล้ายๆ กันกับการสัมนาของทางบริษัทที่จัดให้พนักงาน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมเห็นทุกคนตั้งใจมากกับการสัมนา ขณะพักยังคงคุยถึงโปรเจ็คที่จะมีต่อ พร้อมกับถามถึงความเป็นไปได้ของบางสิ่งที่คิดไว้ว่าสามารถเกิดขึ้นได้ไหมกับผม ซึ่งผมก็บอกว่า มันเป็นไปได้ แต่ในขณะนั้นในใจผมกลับคิดว่า "หลังจากจบสัมนาไหซักอาทิตย์ เดี๋ยวพวกมรึงก็ลืมทุกสิ่งที่เคยพูดกับกรูวันนี้" และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ จนถึงระดับสูงสุดของบริษัทก็เป็นเหมือนกันไม่แตกต่าง เพราะคนเหล่านี้ต้องการไฟมาเติมให้กับตัวเองตลอด แต่เป็นไฟที่มาจากภายนอก ไม่ใช่ไฟที่อยู่ภายในตัวเอง
ไม่เฉพาะคนไทย ต่างชาติก็เป็นในลักษณะเดียวกัน แต่ถ้าเป็นฝรั่งดูเขาจะเพ้อเจ้อน้อยกว่าคนไทย(เท่าที่ผมสังเกตุ)
คนที่ต้องพึ่งพา "ไลฟ์โค้ช" ก็ไม่ต่างกัน เพราะไม่สามารถจุดไฟได้ด้วยตัวเอง เมื่อไฟมอด มันก็จบแค่นั้น แต่สำหรับคนที่สามารถติดไฟภายในตัวได้ด้วยตนเอง ไลฟ์โค้ช หรือสัมนาอะไรต่าง น่าจะมีประโยชน์กับคนๆ นั้นมาก
ผมอาจจะไม่ถูกก็ได้ เพราะคนเรามันต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรจะสร้าง และพยายามฝึกสร้าง ก็คือ การสร้างไฟได้ด้วยตนเอง จะด้วยเหตุผล ยึดหลักอะไรซักอย่าง หรือเป้าหมายอะไรบางอย่าง กำสิ่งนั้นให้เน้น เพราะมันจะเป็นตัวผลักดันจนเราสามารถจุดไฟภายในตัวได้ด้วยตนเอง
COMMENTS