ช่วงที่ไปตลาดนัด ผมเดินผ่านร้านขายแปรงสีฟันด้ามละ 10 บาทหลายต่อหลายครั้งแต่ไม่เคยคิดที่จะซื้อซักครั้ง ปรกติก็ใช้ของมียี่ห้อที่ค่อนข้างราคาแพ...
ช่วงที่ไปตลาดนัด ผมเดินผ่านร้านขายแปรงสีฟันด้ามละ 10 บาทหลายต่อหลายครั้งแต่ไม่เคยคิดที่จะซื้อซักครั้ง ปรกติก็ใช้ของมียี่ห้อที่ค่อนข้างราคาแพงพอสมควร ผมใช้มาเกือบทุกยี่ห้อ เพราะปรกติไม่ค่อยเลือกชอบลองของใหม่ๆ หรือถ้ามียี่ห้อไหนรุ่นไหนลดราคา ขนาดและรูปทรงตรงกับที่ต้องการก็จะซื้อทันที
แล้วแปรงสีฟันราคาด้ามละ 10 บาทจะมีคนซื้อหรือ ก็พอเห็นมีอยู่น๊ะ ไม่งั้นเขาคงไม่สามารถวางแผงขายเฉพาะแปรงสีฟันแบบนี้ได้มาเป็นปีๆ
มันเป็นจังหวะที่ผมจะได้ทดลองใช้ น่าจะเป็นช่วงปีใหม่ถ้าจำไม่ผิด แปรงสีฟันชาร์โคลราคา 20 บาท ซื้อ 1 แถม 1 ผมก็เลยถือโอกาศซื้อมาใช้ซัก 4 ด้าม เป็นแบบนุ่ม 2 ด้าม และแบบแข็ง 2 ด้าม รวมเป็นเงิน 40 บาท
ผมจะใช้แปรงสีฟัน 2 ประเภท คือ นุ่มกับแข็ง แบบนุ่มจะแปรงเวลาเช้า และแบบแข็งจะแปรงตอนเย็นก่อนอาบน้ำ และยาสีฟันที่ใช้ในตอนเช้ากับตอนเย็นก็คนละอย่าง คนละแบบกัน ไม่ใช่อะไร ผมไม่อยากให้มันซ้ำกันแค่นั้นเอง และอีกอย่างผมรู้สึกว่าระหว่างวันเราทานอะไรมาบ้างก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น แปรงแบบแข็งน่าจะเหมาะในตอนเย็น เพราะทำชัดฟันได้ดี
หลังจากที่ทดลองใช้แปรงสีฟันราคาถูก ผมก็ไม่สังเกตุเห็นความแตกต่างเมื่อเทียบกับของมียี่ห้อที่เคยใช้เลยก็ว่าได้ แถมยังทนกว่าอีกด้วย เพราะของมียี่ห้อบางยี่ห้อก็ไม่ค่อยทนเท่าไร สังเกตุที่ขนแปรงมันจะเอียงและบานออก
หลังจากที่ผมใช้แปรงสีฟันราคา 20 บาท 1 แถม 1 จนหมดแล้ว ผมตั้งใจไว้เลยว่าคงจะใช้แปรงสีฟันที่แผงนี้ แต่เป็นแปรงสีฟันราคา 10 บาท แบบธรรมดาไม่ใช่ขาร์โคล แต่ตอนนี้ได้แค่เพียงทดลองเฉพาะแบบแข็ง เพราะแบบชาร์โคลแบบอ่อนอันสุดท้ายสภาพแปรงยังใช้ได้อยู่
ระยะหลังๆ ผมจะมองหาของถูกๆ ใช้มากกว่า แต่ไม่ใช่ว่าจะลองอะไรแบบมั่วๆ ผมต้องให้เวลากับตัวเองระยะหนึ่งเหมือนกันที่จะเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง โดยเฉพาะของใช้ส่วนตัวนี่ต้องคิดให้มากพอสมควร หลายๆ คนยังยึดติดกับแบรนด์อย่างเหนี่ยวแน่น ในลักษณะนี้เขาเรียกว่า "Brand Royalty" มั๊งถ้าจำไม่ผิด คือเป็นคนที่ยึดติดและซื่อสัตย์กับแบรนด์ ถ้ามาใครมาตำหนิแบรนด์นั้นๆ เรามักจะทนไม่ได้ ไม่ค่อยเปิดใจให้กับสิ่งใหม่ๆ ซักเท่าไร ผมว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป แบรนด์เก่าๆ หลายแบรนด์ผมก็เชื่อว่าคุณภาพเขาดีอยู่ แต่ใช่ว่าแบรนด์ใหม่จะด้อยกว่า ไม่อย่างนั้นธุรกิจใหม่ๆ คงไม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้
สำหรับคนยุคนี้แล้วผมว่า การยึดติดกับแบรนด์อาจจะมีน้อยกว่าคนยุคเก่า เพราะมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา หลายๆ อย่างก็ตกยุคเร็ว ทุกคนต้องก้าวไปพร้อมกับสิ่งใหม่ๆ มากกว่าที่จะยึดติดสิ่งเดิมๆ
หลายคนคงสังเกตุเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แบรนด์เนมจำนวนหนึ่งเริ่มเสื่อมสลายลง และไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เพราะความใหญ่ ศักดิ์ศรี หรืออะไรบางอย่าง รวมทั้งปัญหาที่สะสมอยู่ภายในโดยไม่มีใครสามารถมารื้อระบบอะไรต่างๆ ให้มันกระชับพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนได้ตลอดตามยุคสมัย จนเจอวิกฤติการณ์บางอย่าง ปัญหาที่สะสมก็ระเบิดออกมาพร้อมกับการล่มสลายของแบรนด์
มีหลายประเทศที่พยายามอุ้มแบรนด์ที่คิดว่าเป็นหน้าเป็นตาและศักดิ์ศรึของประเทศ แต่หลายๆ ครั้งที่ผ่านมาก็สามารถกอบกู้ได้เพียงระยะเวลาหนึ่งสุดท้านแบรนด์นั้นก็ตกเป็นของชาวต่างชาติ เรื่องราวเล่านี้มีให้เห็นอยู่มากมาย แต่เราก็อยากจะมองข้ามไปเพราะมันเป็นศักดิ์ศรีของประเทศเรา
COMMENTS