เมื่อคืน คือ วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2554 เปิดทีวีดูตามปรกติ นึกได้ว่ามีหนังดูช่วงดึกก็เลยเปิดดู เห็นฉากภูมิประเทศแล้วก็น่าติดตาม ยังไม่รู...
เมื่อคืน คือ วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2554 เปิดทีวีดูตามปรกติ นึกได้ว่ามีหนังดูช่วงดึกก็เลยเปิดดู เห็นฉากภูมิประเทศแล้วก็น่าติดตาม ยังไม่รู้่ว่าเรื่องอะไร ซักพักก็มีชื่อเรื่องขึ้นมาด้านล่างซ้ายว่า อาชญากรรม ความหวัง การสูญเสีย / Babel พระเอกหน้าตาคุ้นๆ แต่มานึกได้ตอนท้ายๆ เรื่อง
ฉากแรกที่ได้ดูอยู่ที่โมร็อคโค ต่อมาก็เป็นเม็กซิโก แล้วก็ไปญี่ปุ่น แต่ล่ะฉากไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกัน ดูไปงงไป แต่การดำเนินเรื่องก็น่าติดมา เพราะยิ่งดูก็เริ่มออกรสชาดให้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง พร้อมกับบ่นกับตัวเองในใจ "นี่มันหนังอะไรกัน ยิ่งดูยิ่งเครียด" แต่ก็ยังดูไปตลอดจนจบ ฮ่า ๆ ๆ จบแบบไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ก็ตั้งใจไว้ว่าจะต้องหาข้อมูลให้เข้าใจหนังเรื่องนี้ให้ได้ เพราะมันมีอะไรแฝงอยู่เยอะเกินกว่าจินตนาการของเรามากทีเดียว ค้นหาข้อมูลก็เจอที่แรกที่พันธ์ทิพย์ ก็ขอ copy มาทั้งดุ้นมาให้อ่านกันเลย ผมว่าเป็นหนังที่น่าดูเรื่องหนึ่ง ถึงจะเป็นหนังเก่าแล้วแต่ก็เพิ่งได้ดูเป็นครั้งแรก ขอเอาเนื้อหามาให้ดูกันเลยน๊ะครับ
...........................................................................................................................................................
แรกเริ่มเดิมที โลกใบนี้มีแค่ภาษาเดียวกัน
จนกระทั่งผองมนุษย์เดินทางไปสู่ทิศตะวันออก
พวกเขาได้ค้นพบที่ราบและปักหลักลง
ทั้งหมดต่างคุยกันว่า "มาเถอะ มาสร้างเมืองของเรา ที่ๆมีหอคอยไปถึงสวรรค์ แล้วเราจะได้อยู่ร่วมกัน ณ. ที่แห่งนั่น ไม่ต้องแตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลกอีก"
แต่แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็สดับเห็น เมืองและหอคอยที่พวกเขากำลังสร้าง ท่านจึงตรัสว่า
"หากเหล่ามนุษย์ที่พูดจาภาษาเดียวกัน วางแผนทำสิ่งนี้ได้ ต่อไปก็คงไม่มีสิ่งอื่นที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขา
.... อย่าดีกว่า เราจะทำให้ภาษาของมนุษย์สับสน จนไม่อาจเข้าใจกันได้อีกต่อไป"
เมื่อคุยกันไม่รู้เรื่อง เหล่ามนุษย์หยุดการสร้างเมืองแห่งนี้ตลอดไป
นี่คือเป็นที่มาของชื่อ Babel ที่ชุมนุมคนต่างชาติต่างภาษา เพราะที่นั่น พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ภาษาเดียวของโลกแตกแขนง เช่นเดียวกัยคนเราที่ได้กระจัดกระจายไปทั่วโลก
ดัดแปลงจากคัมภีร์ไบเบิ้ล ภาค เจเนซิส 11:1-9
และอีกคนที่โปรยคำพูดแบบเช่นกัน ก็คือนักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดัง John Lennon ที่เคยกล่าวไว้ครั้งนึงว่า "หากโลกเราไม่มีภาษาและประเทศที่แตกต่างกันมากมาย เราอาจได้ใช้ชีวิตสงบสุขราวสวงสวรรค์"
เช่นเดียวกับ Ajandro Gonzalez Inarritu ผกก.ชาวแม็กซิกัน ผู้ที่เชื่อเรื่องราวของอุบัติเหตุที่สามารถเชื่อมโยงกับคนอีกกลุ่มนึงที่ไม่น่าจะเกี่ยวกันได้ แต่กลับถูกสอดคล้องได้ดี เขาคนนี้คือผู้ที่สามารถเข้าใจว่า คนบนโลกเรา มักจะลืมอะไรแบบที่ไม่มีใครสามารถนึกถึงได้
เฉกเช่นผลงานเรื่องแรกของเขา Amores Perros หนังที่สะท้อนเรื่องของอุบัติเหตุ 1 เหตุการณ์ที่สามารถแตกเรื่องเป็นเสี่ยงและสามารถโยงความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ไปสู่ตัวละครอื่นๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้ อย่างฉับพลัน ด้วยเรื่องราวของคน 3 สถานะ เราจึงได้เห็นการสอดคล้องของเหตุการณ์ที่มันเกิดผลต่อคนเหล่านี้ ได้อย่างมีที่มาและไป อย่างต่อเนื่อง
21 Grams คือเรื่องที่ 2 ของเขา แต่เป็นหนังอเมริกันเรื่องแรกที่เขาทำมา คือเรื่องราวที่ไม่ต่างกับผลงานเรื่องแรกของเขาซักเท่าไหร่ แต่เรื่องประเด็นมันไม่ได้ต้องการจะเล่าถึงผลกระทบเหตุการณ์ต่อเหตุการณ์เดียวเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญมันเล่าถึงการสูญเสียของจิตวิญญาณเรา ที่เราทำบาปและสิ่งที่ไม่คาดฝันมามากเพียงใดแล้ว??? แล้วที่เราเสียจิตวิญญาณไปนั้น มันกี่กรัมเข้าไปแล้ว???
เรื่องที่ 3 ของเขา Babel เป็นหนังที่ใช้ประเด็นไม่ต่างกับ 2 เรื่องแรก แต่ทีนี้เรานี้ได้เน้นเกี่ยวกับผลกระทบของอุบัติเหตุที่มันสามารถเชื่อมโยงไปถึง คนโลกอื่นได้อย่างน่าตกใจ ซึ่งมันก็คงไม่ต่างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกของเราแทบทุกวันนี้ เพราะมนุษย์เรามักไม่เคยสงใจเรื่องข้างๆตัวเลย จนกระทั่งมันเกิดขึ้นเร็วมากจนสายกว่าจะเกินแก้ อย่างที่ คัมภีร์ไบเบิ้ล ภาค เจเนซิส 11:1-9 ได้กล่าวไว้ข้างต้น เมื่อคนเราคิดจะสร้างสวรรค์ที่แท้จริง พระเจ้าก็ทำให้มนุษย์ได้สับสนกับภาษาเดียวกัน ได้แตกแยกเป็นหลากภาษาที่ทำให้มนุษย์นั้น ไม่มีวันอาจเข้าใจกันได้ ไม่ใช่เพียงแต่ภาษาพูด แต่การอุดมคติต่อการสื่อสารของมนุษย์ได้ทำให้มนุษย์ได้แตกคอเข้าไปกันอีก ที่ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ และเพียงเพราะเรื่องเหล่านี้เอง ทำให้ผลกระทบต่อเหตุการณ์ 1 อุบัติเหตุ มันโยงไปสู่คนอีกกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่และพร้อมจะรับรู้อะไรได้เลยด้วยซ้ำ แถมมันไม่ได้จะเกิดผลกระทบแบบนี้ แค่คนในเมือง หรือคนในประเทศเดียวกันอย่างเดียว แต่มันจะเป็นผลกระทบที่สู่คนทั่วโลกก็เป็นได้ ซึ่งมันอาจเป็นการเชื่อมเส้นทางของปัญหาระดับโลกในที่สุด
จุดเริ่มต้นของ Babel เริ่มต้นที่วัตถุชนิดนึง ที่ๆเป็นอาวุธประจำกายมนุษย์ใช้ไว้เพื่อปกป้อง และ ทำกิจกรรมบางอย่าง ที่ๆมนุษย์ใช้รบกันแทบทุกวี่ทุกวัน ที่เรียกสั้นๆง่ายๆว่า "ปืน"
ซึ่งมันมีที่ไปที่มาของเรื่องเหมือนกันที่ "เหตุ-ผล-กรรม-การสูญเสีย" ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้มีเรื่องไหนไปเน้นประเด็นนั้นมากๆที่สุด แต่เรื่องทั้งหมดกับถูก 4 สิ่งนี้หล่อหลอมให้เห็นเรื่องเข้าเรื่องเดียวกันในท้ายที่สุด เพราะเรื่องราวของ 4 เหตุการณ์ต่างเชื้อชาติในหนัง ที่ไม่ได้ใช้แพนเทริน์ปกติดำเนินเรื่องเหมือนทั่วไป แต่หนังให้เห้นธาตุแท้จริงมนุษย์ที่เกิดขึ้นกับเราทุกๆวันบนโลกของเรา
เหตุการณ์แรกของหนังได้เริ่มต้นที่วัตถุชนิดนี้ "ปืนไรเฟิล" ได้ถูกจัดการซื้ออย่างลับๆระหว่างชาวนา 2 คนใน Morroco ผู้ขายก็ขายไป ผู้ซื้อก็ซื้อไป เพราะความบริษุทธิ์ใจ ไม่ได้คิดอะไรมากมายว่า มันจะเกิดเหตุร้ายอะไรบางอย่างขึ้นในภัยข้างหน้า ส่วนผู้ซื้อก็ซื้อไป เพื่อให้ลูกๆเขาได้มีอะไรทำ ได้จัดป้องกันไม่ให้พวกหมาไนเข้าเขตแถวบ้านเขาบ่อยๆ และด้วยปืนไรเฟิลที่ผู้เป็นพ่อให้ลูกๆ ก็ได้เชื่อใจว่าพวกเขาคงไม่ไปก่อปัญหาอะไร Ahmed ผู้เป็นลูกชายคนโตที่ไม่แม่นกับการยิงปืนซัดเท่าไหร่ แต่ Yuseff ผู้เป็นลูกชายคนสุดท้องกลับยิงปืนแม่นกว่า Ahmed หลายเท่า จึงทำให้ ผู้เป็นพ่อได้ไว้ใจ Yuseff มากกว่า Ahmed ถึงแม้ Ahmed จะดูเป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้วก็ตาม แต่มีอยู่สิ่งเดียวที่ผู้เป็นพ่อไม่เคยรู้เกี่ยวกับ Yuseff ก็คือเขามักจะชอบแอบดูพี่สาวตัวเองเปลี่ยนชุด แถมตัวพี่สาวก็เต็มใจให้ดู ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ศีลอย่างยิ่ง และเขาก็ถูก Ahmed ขู่ตลอดเวลาถ้าไม่เลิกนิสัยแบบนี้ วันนึงก็จะฟ้องพ่อในที่สุด แล้ววันๆนึงขณะที่ทั้ง Ahmed และ Yuseff กำลังเดินเล่นหุบเขาเพื่อล่าพวกหมาไนเล่นๆอยู่นั้น Ahmed ก็มาโทษฝีมือการยิงปืนของเขาไม่ดีเป็นเพราะกระสุนมันด้าน เขาจึงท้ายิงไปที่รถ Ahmed ยิงรถคันนึงแล้วไม่โดน แต่ Yuseff กลับยิงไปที่รถทัวร์โดนในที่สุด และเมื่อรถทัวร์คันนั้นหยุด เขาทั้ง 2 ต่างก็ต้องวิ่งหนีไปไกลที่สุด และก็ต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับให้เงียบที่สุด
เหตุการณ์ที่ 2 ของหนังตามมาก็เริ่มที่เมกา ได้เห็นถึงเรื่องราวของแม่บ้านชาวแม็กซิกันนาม Amelia ที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กให้กับเจ้านายเธอในเวลาเดียวกัน ในช่วงที่เจ้านายของเธอออกไปพักผ่อนที่อื่น ซึ่งในช่วงเดียวกันเธอเองก็ต้องกลับประเทศ เพื่อไปร่วมงานแต่งงานลูกชายตัวเอง แต่ปัญหาเดียวก็คือ เธอยังไปไม่ได้ เพราะว่าต้องหาคนเลี้ยงเด็กแทนเธอ แรกเดิมทีเจ้านายเธอก็จะให้น้องของเมียเจ้านายมาดูแลเด็กๆ แต่พอไปพอมา น้องของเมียเจ้านายก็มาไม่ได้ เธอเองก็ต้องหาคนเลี้ยงเด็กแทนเธอ แต่ยิ่งให้คนอื่นช่วยยิ่งไม่สำเร็จ เธอจึงตัดสินใจให้เด็กๆ ไปกับเธอและหลานชายของเธอได้ และพยายามจะพาเด็กๆกลับมาในช่วงเวลาที่เร็วสุดๆหลังจากที่งานเลี้ยงเสร็จแล้ว
เหตุการณ์ที่ 3 เริ่มที่ Morroco เหมือนกับเหตุการณ์แรก เพียงแต่มันเริ่มต้นที่ในเมืองแห่งนึงที่ไม่วุ่นวาย Richard และ Susan มากับกลุ่มนักท่องเที่ยว เพื่อมาสถานที่ที่เลี่ยงความวุ่นวายมีแต่ความสงบ และจะได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ซึ่งเขาเองก็พยายามจะทำให้ช่วงเวลาของเขาและเมียเขา เป็นช่วงเวลาที่สามารถจะให้เวลาและความรู้สึกดีๆที่พวกเขาเคยมี กลับมาหาพวกเขาอีกครั้ง แต่เหมือนกับว่าการที่พวกเขามาในดินแดนแห่งนี้ พวกเขาเหมือนยิ่งว้าเหว่มากขึ้น จนกระทั่งขณะที่รถทัวร์กำลังขับอย่างนิ่งๆ Susan ก็ถูกยิงอย่างไร้เหตุ ที่ไม่มีใครคาดคิดได้ เมื่อ Richard ได้เห็นเมียของตัวเองโดนยิงต่อหน้าต่อตา มันคือกรณีที่เขาไม่สามารถจะตั้งสติได้ และไม่คิดว่าจะต้องรับมือกับมัน เขาจึงขอร้องให้ คณะทัวร์ของเขากลับไปที่เมืองที่พึ่งออกมาตะกี้นี้ เพราะต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน มันเป็นเหตุการณ์ที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เจอในการเดินทางครั้งนี้
เหตุการณ์ที่ 4 ในญี่ปุ่น เมืองโตเกียว เรื่องราวที่คนอาจจะสงสัยว่ามันไปเชื่อมโยงกับ 3 เหตุการณ์ได้อย่างไร ได้ให้เราได้พบกับ Chieko หญิงสาววัยรุ่นผู้ที่หูหนวกและเป็นใบ้ มีชีวิตแบบปกติเหมือนคนทั่วไป เพียงแต่การสื่อสารของเธอเป็นภาษาที่คนกลุ่มนึงใช้กันเท่านั้น เธอเป็นคนที่ติดกลุ่มเพื่อนเธอไม่ต่างจากสาวๆในวัยเดียวกับเธอ เธอพึ่งพบกับเรื่องที่เธอไม่คาดฝันกับการตายของแม่เธอเมื่อไม่กี่เดือน และเธอเองไม่สามารถที่จะมอบรับความรักจากพ่อของเธอเองได้ เพราะตัวเธอเองต้องการจะเรียนรู้สังคมด้วยตัวเธอง ซึงซักวันเธอเองอยากจะรักใครซักคนนึง อยากให้ใครมาสัมผัสตัวเธอ อยากให้ใครก็ได้มารักเธอ และอยากจะให้มาร่วมเพศกับเธอ มันก็เป็นเรื่องที่เธอคิดเองและอยากได้อบากสัมผัสตลอดเวลา ถึงตัวเธอจะพิการแต่ความรู้สึกเธอก็ไม่ต่างจากเด็กสาววัยเดียวกันกับเธอ
จาก 4 เหตุการณ์ ของ 3 มุมโลกที่ไกลกันเหมือนฟ้าและเหว ที่ไม่มีใครเคยคาดคิดว่าผลลัพท์ของผลกระทบครั้งนี้ จะนำไปสู่เส้นทางนั้น คือเรื่องราวที่หนังเองพยายามจะให้คนดูได้เข้าใจถึงสัจธรรมของการเชื่อมโยงและความขัดแย้งที่เป็นอุปสรรคในตัวละครของเรื่องนี้
Yuseff กับ Ahmed เด็ก 2 คนที่ซนโดยที่ไม่ได้ดูตาไม้ตาเรือ สิ่งที่พวกเขาทำไป จะนำไปสู่อะไรบ้าง
Amelia ที่ก็คิดว่าการนำเด็กที่ตัวเองรับเลี้ยงไปแม็กซิโกด้วยจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ทั้งๆที่ไม่มีทางเลือก
Richard ที่คิดว่าการพา Susan มา Morroco ด้วยครั้งนี้ จะสามารถทำให้ระลึกถึงความสัมพันธ์อันชื่อฉ่ำเก่าๆ ของพวกเข่ทั้งคู่ได้ แต่กับได้ผลกรรมที่ไม่คู่ควร
Chieko ไม่ใช่เธอหูหนวกหรือเป็นใบ้เท่านั้น แต่ตัวเธอเองอยู่ในภาวะของการสับสน และความขัดแย้งที่อยู่กับตัวเธอเอง จากคนที่ขาดความรัก ก็ต้องการใครซักคนเพื่อรับรักเธอไป และรักเธอด้วย
ตัวละครเรื่องนี้เปรียบเสมือนกับตัวจำลองสังคมบนโลกเราอย่างแท้จริง เหมือนหนังเรื่องอื่นๆที่ชิง Oscar ปีนี้ที่เล่าเรื่องในแบบจำลองสังคมและมนุษย์ได้อย่างคล้ายคลึมเล็กๆน้อยๆ ซึ่งถ้าคุณได้มีโอกาสได้ดู Little Miss Sunshine, Half Nelson, Flags of Our Fathers, Apocalypto และ Pan's Laberynth ตัวเก็งหนัง Oscar ทั้งนั้น แล้วมาดูเรื่องนี้ คุณจะเห็นว่าหนังจะเน้นประเด็นถึง สังคม มนุษย์ อารยธรรม(วัฒนธรรม) หน้าที่ และ อุดมคติของมนุษย์กันเองจริงๆ อย่าง
Little Miss Sunshine หนังพูดถึง Loser (ผู้ที่สังคมไม่ยอมรับ) ในสังคมจริงๆบนโลกนี้ ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง จากการจำลองเป็นครอบครัวบ้านนี้ ที่เป็นที่ไม่ยอมรับกันซักเท่าไหร่
Half Nelson เรื่องราวของคนที่เรียกกันว่า Nobody ที่ไม่ต่างจากโลกจริงๆที่เราอยู่นักเท่าไหร่ เพราะคนที่เป็น Nobody ก็ไม่ได้ถูกยอมรับจากสังคมเช่นกัน
Flags of Our Fathers หนังพูดถึงความรู้สึกผิดและแผลใจของทหาร 3 คน ที่รอดกลับมาจากสงคราม Iwo Jima มา จะเป็นสิ่งที่ฝังใจเขาตลอดไปตราบเท่านิรันดรณ์ ซึ่งเป็นความเจ็บปวดที่พวกเขาต้องเห็นเพื่อนตัวเองตายต่อหน้าต่อตา และไม่อาจจะลืมมันได้ ที่สำคัญหนังให้เห็นถึงความ Guilty ที่มนุษย์มีต่อมนุษย์กันเอง
Apocalypto อารยธรรม และ วัฒนธรรม ที่สาปสูญหายไปและไม่มีใครเคยนำมาเล่า แต่เหมือนได้เล่าถึงวัฒนธรรม ที่เราเองนั้นไม่คิดว่าจะได้พบ เรากลับเห็นว่า พฤติกรรมของชนเผ่ามายันนั้น ไม่ได้ต่างอะไรไปกับคนในสังคมนี้เลยซักนิด เพราะมนุษย์เราก็ยังทำตัวอำเภอในอยู่วันยังค่ำ แต่ในขณะที่มีคนอีกกลุ่มนึง ต้องการที่จะหาวิถีชีวิตที่สงบสเงี่ยมอย่างแท้ที่จริง
Pan's Laberynth ความโหดร้ายของสังคมที่แก่นแย่งชิงดีกัน ทั้งๆที่หนังพูดถึงเรื่องราวสงครามการเมืองอยู่ แต่ไม่ว่าคุณจะฆ่าแกงไปมากเท่าไหร่ หรือว่าคุณจะโหดร้ายเพียงใด ภายใต้ความโหดร้าย มันยังคงมีความดีเหลืออยู่
Babel เหมือนกับรวมเอาประเด็นของ หนังที่ผมกล่าวมา มารวมไว้ทั้งหมด หรือ Babel อาจเป็น 1 หนังเหล่านี้ ที่พูดเรื่องทางสังคมแบบนี้อย่างจริงจังก็เป็นได้ เพราะมันคือเรื่องราวของมวลมนุษย์ด้วยกันเอง ที่เราทุกๆคนแตกต่างกันในการสื่อภาษา และแม้กระทั่งคนเราเอง จะแตกหน่อเป็นหลายภาษา แต่บางทีคนในภาษาเราเอง ก็ไม่อาจจะสื่อสารกันได้เลย ทำไมน่ะหรือ??? ไม่ใช่เพราะว่า พระเจ้าสาปแช่งเราอะไรกระนั้นหรอก แต่เราเองหันมาเข้าใจกันต่างหาก เราไม่เคยรับฟังคนที่ปัญหา เราไม่เคยรับฟังคนที่มีข้อบกพร่องมากกว่าเรา แต่เราหันมาแค่สนใจตัวเองซะมากกว่า และไม่มีใครบนโลกนี้เข้าใจกันเลยซักนิด เมื่อทุกๆคนเห็นอารมณ์ตัวเองเป็นเรื่องใหญ่
ถ้า Richard ไม่พา Susan มาที่ Morroco??? มันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์อันแสนเศร้าแบบนี้
ถ้า Yuseff ไม่ยิงรถทัวร์??? เขาเองก็ไม่ไปทำให้ใครคนอื่นเดือดร้อน ไม่ทำให้ Ahmed ตาย ไม่ทำให้ครอบครัวเขา (โดยเฉพาะพ่อ) ผิดหวังในตัวเขา และไม่ทำให้เขาเสียอนาคตตามมา
ถ้า Amelia ไม่พาเด็กๆไปกับเธอ??? เธอเองก็จะไม่สูญเสียงาน ไม่สูญเสียความมั่นคงตัวเอง ไม่ถูกเนรเทศให้ออกไป และ ไม่สูญเสียการเลี้ยงเด็กๆที่เธอผูกพันธ์มานาน
ถ้าแม่ของ Chieko ไม่ตายจากไป??? Chieko ยังจะเป็นสาวน้อยที่ยังน่ารักอยู่ ถึงแม้เธอจะพิการก็ตาม
ฉนั้นผมพูดได้เต็มปากเลยว่า Babel คือหนังบทสรุปจบของ Amores Perros และ 21 Grams
เพราะจากปัญหาของคนต่างชนชั้น ก็มาสู่คนแปลกหน้า จากปัญหาคนแปลกหน้า ก็มาสู่ปัญหาของคนต่างประเทศ
ซึ่งปัญหาการเชื่อมโยงจากเกิดอุบัติเหตุของผกก. Alejandro Gonzalez Inarritu ในหนังของเขาแต่ละเรื่อง คือสัญลักษณ์ที่เราเห็นในหนังของเขาแทบทุกๆเรื่อง และมันคือปัญหาที่เลี่ยงไม่ได้
หนังเรื่องนี้นำ 4 อารยธรรมของ คน 4 ประเทศมาบรรจบกันเป็นหนังเรื่องเดียวในที่สุด ได้อย่างสร้างสรรค์และบรรเจิดที่สุด มันคือหนังที่ออกมาแบบประเภทเดียวกับ Crash หรือ Magnolia ก็จริงอยู่ แต่ในความเห็นผมว่า เรื่องนี้นำอารยธรรมต่างๆมาไว้ที่เดียวกันจนลงตัวสุดๆไปเรียบร้อยแล้ว
Alejandro Gonzalez Inarritu คือผกก.ที่นักสร้างหนังรุ่นใหม่ควรเป็นเยี่ยงอย่าง ผมคิดว่าเขาคือผกก.ที่หายากคนนึงในวงการหนังโลกจริงๆ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะออกแนวการทะเยอทะยานมากเกินไป แต่ผลงานของเขาที่ออกมานั้น สุดท้ายมันกลายเป็นผลงานที่จะต้องพิสูจน์ด้วยสายตาคุณเองเท่านั้น และเขาเองก็สามารถนำทฤษฎีการเชื่อมโยงจากอุบัติเหตุสู่บุคคลทั่วไป ได้อย่างลงตัวพิเศษ ที่ผมว่าเขาสามารถเป็นผกก.คนเดียวที่สามารถผลกระทบจากอุบัติมาสู่คนทั่วไป ได้ที่สุดแล้ว และถึงแม้ว่าผลงานของเขาเรื่องต่อไปจะทำหนังออกแนวประมาณนี้อีกหลายๆเรื่องล่ะก็ เขาเองก็คงมีไอเดียที่มาตกแต่งทฤษฎีแบบนี้ ไม่ทำให้รู้สึกจำเจมากไปแหละ
ถ้าไม่มีผขบ.คนนี้หนังของ Alejandro Gonzalez Inarritu ก็คงไม่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ Guillermo Arriaga ผขบ.คู่บุญของผกก.คนนี้ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้ลงตัวแทบทุกเรื่องในหนังของเขา ถ้าคุณรู้อินไปกับ Amores Perros รู้สึกช็อคไปกับ 21 Grams และรู้สึกทึ่งกับ Babel ผขบ.คนนี้แหละเป็นคนที่มาเติมเต็มหนังอย่างแท้ที่จริง และถ้าขาดเขาไป หนังทั้ง 3 เรื่องคงไม่เป็นหนังที่หลายๆคนชื่นชอบในที่สุด
.... ขณะดูหนังเรื่องนี้ผมมีความรู้สึกคิดถึงหนังเหล่านี้ขึ้นมาทันที (Crash/Magnolia/Traffic/Brokeback Mountain/Lost In Translation) โดยเฉพาะส่วนเรื่องญี่ปุ่นนั้น เหมือนเป็นผีร้ายจากเรื่อง Lost In Translation ที่ยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่ในช่วงเวลานี้ก็จริงอยู่ และเหมือนกับ Tagline จากหนังเรื่องนั้นก็ยังตามาหลอกหลอนอยู่ "Everybody Wants To Be Found?" หรือแม้กระทั่งส่วนที่เป็นความลับของหนัง ก็คล้ายๆกับ Lost In Translation ซะด้วย ทำให้รู้สึกว่าในขณะที่เราอยู่กับ Chieko เราเหมือนคิดถึงในบรรยากาศเก่าๆที่เราเคยชม Lost In Translation อย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ โดยรวมแล้ว ผมว่า Chieko ในหนังเรื่องนี้ เหมือนเป็น Scarlet Johanson ในหนังเรื่องนี้ อย่างไม่ต้องสงสัยเลย แต่คนอาจจะสงสัยว่า ทำไมผมไปนึกถึง Brokeback Moutain ด้วย ก็เพราะว่าช่วงเวลา Yoseff และ Ahmed เป็นช่วงเวลาที่หนังเล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ จนให้เรารู้สึกสงบเล็กๆ ผมว่ามันทำให้คล้ายๆใน Brokeback Mountain แบบที่ Jack และ Elmer อยู่ด้วยกันอย่างว้าเหว่ ผมว่าส่วนของ2พี่น้องนี้ มันเป็นช่วงเวลาสงบจริงๆ
นักแสดงของเรื่องผมว่าเล่นดีแทบทุกๆคน แต่ผมขอชื่นชม 3 คนนี้ละกัน
- Brad Pitt ผมว่าตั้งแต่ผมยังเด็กจนผม 19 เต็มที่แล้ว ผมรู้สึกว่ามีอยู่ 3 เรื่องที่ผมประทับใจตัวเขาจริงๆ Legend of The Fall, Se7en และ Fight Club แต่กลับบทบาท Richard ในหนังเรื่องนี้ ผมพูดได้เต็มปากอีกครั้งว่า ทุกๆครั้งที่เขาออกมาการแสดงของเขาก็ต่อยกับการแสดงนักแสดงคนอื่นๆได้อย่างหนักแน่นจริงๆ แล้วผมเองก็ไม่ได้เคยเห็น Pitt จะต้องไม่อยู่ในวิกฤษสิ้นแบบที่เป็น Richard จริงๆ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกก็ได้ที่เราได้เห็น Pitt ได้สิ้นหวังสุดๆ จนเราเห็นใจเขาอย่างมาก ยิ่งตอนโทรศัพท์หาลูกเขา (ซีนอาจจะทำให้ผมนึกถึง Eric Bana ใน Munich) ผมกลับรู้สึกว่าเขาแสดงได้น่าสงสารจริงๆ
- Adriana Barraza ผมว่าพี่เลี้ยงที่เป็นชาวแม็กซิกันก็คงไม่ต่างจากเธอแน่ๆ เพราะว่าคนที่เป็นพี่เลี้ยงและเป็นแม่บ้านพร้อมกัน ก็ไม่ต่างจากลักษณะของเธอ ที่ผูกพันธ์กับคนที่เลี้ยงมาตั้งแต่เกิด ต้องมาทำงานบ้านขนชินไปแล้ว เนี๊ยแหละที่ผมว่าธรรมชาติของแม่บ้าน และ พี่เลี้ยงจะเป็นคนแบบนี้ แต่ในขณะที่ตัวละครจะต้องเจอเรื่องที่ไม่คาดฝัน เธอเองก็ทำให้เรารู้สึกสงสารขึ้นมาทันทีโดยที่ไม่ต่างจาก Richard ซัดเท่าไหร่ แต่ได้เห็นความหมายของการสูญเสียแล้วแหละว่า มันก็เป็นแบบที่เธอได้รับบทสรุปของหนัง
- Rinko Kikuchi เธอคนนี้เป็นเหมือนนางฟ้าของหนังได้เลย แล้วการแสดงทุกๆครั้งของเธอที่โผล่มาแทบทุกซีนก็กินขาดสุดๆแล้วล่ะครับ แถมเธอนี่เล่นแบบมอบวิญญาณให้จริงๆครับ เป็นนักแสดงดาวรุ่งที่ทำให้เราได้เห็นแจ้งแล้วว่า เธอทุ่มตัวสุดๆ ทุกๆด้านให้กับหนังจริงๆ ซึ่งปกติผมไม่ได้เห็นนักแสดงเชื้อสายญี่ปุ่นที่เล่ยแล้วประทับใจแบบนี้ตั้งแต่ Ken Watanabe ใน The Last Samurai ผมคิดว่า Rinko เหมาะที่จะได้รับบทแนวอินเตอร์แบบนี้บ่อยๆ เธอเล่นแบบว่าเกินคำบรรยายจริงๆ
ฉนั้นผมคิดว่า ไม่ว่าใครจะว่า Babel เป็นหนังยังไง สำหรับผม ผมว่านี่คือหนังที่เหมาะกับรางวัล Oscar อย่างแท้จริงๆ นี่คือหนังที่ผมว่า เป็นหนังที่เล่าความจริงของผลกระทบของคนทั่วโลกที่เชื่อมโยงโดยตรงและทางอ้อมอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เราใช้ต่างภาษาเท่านั้น แต่เราได้หลงทางในห้วงกินแดนสนธยาไปอย่างหนักแบบไม่รู้ตัวเรียบร้อยแล้ว และก็มันยังไม่สายเกินไปที่เราจะหันมาเข้าใจกัน (ถึงเราจะต่างภาษา) แต่เราจะจริงจังกันรึเปล่า? นี่คือคำถามที่หนังถามเราตั้งแต่ต้นจนจบ ฉนั้น Babel กลายเป็นหนังอีกเรื่องที่ผมชอบมากที่สุดประจำปีนี้ไปแล้ว
ฉากแรกที่ได้ดูอยู่ที่โมร็อคโค ต่อมาก็เป็นเม็กซิโก แล้วก็ไปญี่ปุ่น แต่ล่ะฉากไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกัน ดูไปงงไป แต่การดำเนินเรื่องก็น่าติดมา เพราะยิ่งดูก็เริ่มออกรสชาดให้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง พร้อมกับบ่นกับตัวเองในใจ "นี่มันหนังอะไรกัน ยิ่งดูยิ่งเครียด" แต่ก็ยังดูไปตลอดจนจบ ฮ่า ๆ ๆ จบแบบไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ก็ตั้งใจไว้ว่าจะต้องหาข้อมูลให้เข้าใจหนังเรื่องนี้ให้ได้ เพราะมันมีอะไรแฝงอยู่เยอะเกินกว่าจินตนาการของเรามากทีเดียว ค้นหาข้อมูลก็เจอที่แรกที่พันธ์ทิพย์ ก็ขอ copy มาทั้งดุ้นมาให้อ่านกันเลย ผมว่าเป็นหนังที่น่าดูเรื่องหนึ่ง ถึงจะเป็นหนังเก่าแล้วแต่ก็เพิ่งได้ดูเป็นครั้งแรก ขอเอาเนื้อหามาให้ดูกันเลยน๊ะครับ
...........................................................................................................................................................
แรกเริ่มเดิมที โลกใบนี้มีแค่ภาษาเดียวกัน
จนกระทั่งผองมนุษย์เดินทางไปสู่ทิศตะวันออก
พวกเขาได้ค้นพบที่ราบและปักหลักลง
ทั้งหมดต่างคุยกันว่า "มาเถอะ มาสร้างเมืองของเรา ที่ๆมีหอคอยไปถึงสวรรค์ แล้วเราจะได้อยู่ร่วมกัน ณ. ที่แห่งนั่น ไม่ต้องแตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลกอีก"
แต่แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็สดับเห็น เมืองและหอคอยที่พวกเขากำลังสร้าง ท่านจึงตรัสว่า
"หากเหล่ามนุษย์ที่พูดจาภาษาเดียวกัน วางแผนทำสิ่งนี้ได้ ต่อไปก็คงไม่มีสิ่งอื่นที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขา
.... อย่าดีกว่า เราจะทำให้ภาษาของมนุษย์สับสน จนไม่อาจเข้าใจกันได้อีกต่อไป"
เมื่อคุยกันไม่รู้เรื่อง เหล่ามนุษย์หยุดการสร้างเมืองแห่งนี้ตลอดไป
นี่คือเป็นที่มาของชื่อ Babel ที่ชุมนุมคนต่างชาติต่างภาษา เพราะที่นั่น พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ภาษาเดียวของโลกแตกแขนง เช่นเดียวกัยคนเราที่ได้กระจัดกระจายไปทั่วโลก
ดัดแปลงจากคัมภีร์ไบเบิ้ล ภาค เจเนซิส 11:1-9
และอีกคนที่โปรยคำพูดแบบเช่นกัน ก็คือนักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดัง John Lennon ที่เคยกล่าวไว้ครั้งนึงว่า "หากโลกเราไม่มีภาษาและประเทศที่แตกต่างกันมากมาย เราอาจได้ใช้ชีวิตสงบสุขราวสวงสวรรค์"
เช่นเดียวกับ Ajandro Gonzalez Inarritu ผกก.ชาวแม็กซิกัน ผู้ที่เชื่อเรื่องราวของอุบัติเหตุที่สามารถเชื่อมโยงกับคนอีกกลุ่มนึงที่ไม่น่าจะเกี่ยวกันได้ แต่กลับถูกสอดคล้องได้ดี เขาคนนี้คือผู้ที่สามารถเข้าใจว่า คนบนโลกเรา มักจะลืมอะไรแบบที่ไม่มีใครสามารถนึกถึงได้
เฉกเช่นผลงานเรื่องแรกของเขา Amores Perros หนังที่สะท้อนเรื่องของอุบัติเหตุ 1 เหตุการณ์ที่สามารถแตกเรื่องเป็นเสี่ยงและสามารถโยงความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ไปสู่ตัวละครอื่นๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้ อย่างฉับพลัน ด้วยเรื่องราวของคน 3 สถานะ เราจึงได้เห็นการสอดคล้องของเหตุการณ์ที่มันเกิดผลต่อคนเหล่านี้ ได้อย่างมีที่มาและไป อย่างต่อเนื่อง
21 Grams คือเรื่องที่ 2 ของเขา แต่เป็นหนังอเมริกันเรื่องแรกที่เขาทำมา คือเรื่องราวที่ไม่ต่างกับผลงานเรื่องแรกของเขาซักเท่าไหร่ แต่เรื่องประเด็นมันไม่ได้ต้องการจะเล่าถึงผลกระทบเหตุการณ์ต่อเหตุการณ์เดียวเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญมันเล่าถึงการสูญเสียของจิตวิญญาณเรา ที่เราทำบาปและสิ่งที่ไม่คาดฝันมามากเพียงใดแล้ว??? แล้วที่เราเสียจิตวิญญาณไปนั้น มันกี่กรัมเข้าไปแล้ว???
เรื่องที่ 3 ของเขา Babel เป็นหนังที่ใช้ประเด็นไม่ต่างกับ 2 เรื่องแรก แต่ทีนี้เรานี้ได้เน้นเกี่ยวกับผลกระทบของอุบัติเหตุที่มันสามารถเชื่อมโยงไปถึง คนโลกอื่นได้อย่างน่าตกใจ ซึ่งมันก็คงไม่ต่างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกของเราแทบทุกวันนี้ เพราะมนุษย์เรามักไม่เคยสงใจเรื่องข้างๆตัวเลย จนกระทั่งมันเกิดขึ้นเร็วมากจนสายกว่าจะเกินแก้ อย่างที่ คัมภีร์ไบเบิ้ล ภาค เจเนซิส 11:1-9 ได้กล่าวไว้ข้างต้น เมื่อคนเราคิดจะสร้างสวรรค์ที่แท้จริง พระเจ้าก็ทำให้มนุษย์ได้สับสนกับภาษาเดียวกัน ได้แตกแยกเป็นหลากภาษาที่ทำให้มนุษย์นั้น ไม่มีวันอาจเข้าใจกันได้ ไม่ใช่เพียงแต่ภาษาพูด แต่การอุดมคติต่อการสื่อสารของมนุษย์ได้ทำให้มนุษย์ได้แตกคอเข้าไปกันอีก ที่ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ และเพียงเพราะเรื่องเหล่านี้เอง ทำให้ผลกระทบต่อเหตุการณ์ 1 อุบัติเหตุ มันโยงไปสู่คนอีกกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่และพร้อมจะรับรู้อะไรได้เลยด้วยซ้ำ แถมมันไม่ได้จะเกิดผลกระทบแบบนี้ แค่คนในเมือง หรือคนในประเทศเดียวกันอย่างเดียว แต่มันจะเป็นผลกระทบที่สู่คนทั่วโลกก็เป็นได้ ซึ่งมันอาจเป็นการเชื่อมเส้นทางของปัญหาระดับโลกในที่สุด
จุดเริ่มต้นของ Babel เริ่มต้นที่วัตถุชนิดนึง ที่ๆเป็นอาวุธประจำกายมนุษย์ใช้ไว้เพื่อปกป้อง และ ทำกิจกรรมบางอย่าง ที่ๆมนุษย์ใช้รบกันแทบทุกวี่ทุกวัน ที่เรียกสั้นๆง่ายๆว่า "ปืน"
ซึ่งมันมีที่ไปที่มาของเรื่องเหมือนกันที่ "เหตุ-ผล-กรรม-การสูญเสีย" ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้มีเรื่องไหนไปเน้นประเด็นนั้นมากๆที่สุด แต่เรื่องทั้งหมดกับถูก 4 สิ่งนี้หล่อหลอมให้เห็นเรื่องเข้าเรื่องเดียวกันในท้ายที่สุด เพราะเรื่องราวของ 4 เหตุการณ์ต่างเชื้อชาติในหนัง ที่ไม่ได้ใช้แพนเทริน์ปกติดำเนินเรื่องเหมือนทั่วไป แต่หนังให้เห้นธาตุแท้จริงมนุษย์ที่เกิดขึ้นกับเราทุกๆวันบนโลกของเรา
เหตุการณ์แรกของหนังได้เริ่มต้นที่วัตถุชนิดนี้ "ปืนไรเฟิล" ได้ถูกจัดการซื้ออย่างลับๆระหว่างชาวนา 2 คนใน Morroco ผู้ขายก็ขายไป ผู้ซื้อก็ซื้อไป เพราะความบริษุทธิ์ใจ ไม่ได้คิดอะไรมากมายว่า มันจะเกิดเหตุร้ายอะไรบางอย่างขึ้นในภัยข้างหน้า ส่วนผู้ซื้อก็ซื้อไป เพื่อให้ลูกๆเขาได้มีอะไรทำ ได้จัดป้องกันไม่ให้พวกหมาไนเข้าเขตแถวบ้านเขาบ่อยๆ และด้วยปืนไรเฟิลที่ผู้เป็นพ่อให้ลูกๆ ก็ได้เชื่อใจว่าพวกเขาคงไม่ไปก่อปัญหาอะไร Ahmed ผู้เป็นลูกชายคนโตที่ไม่แม่นกับการยิงปืนซัดเท่าไหร่ แต่ Yuseff ผู้เป็นลูกชายคนสุดท้องกลับยิงปืนแม่นกว่า Ahmed หลายเท่า จึงทำให้ ผู้เป็นพ่อได้ไว้ใจ Yuseff มากกว่า Ahmed ถึงแม้ Ahmed จะดูเป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้วก็ตาม แต่มีอยู่สิ่งเดียวที่ผู้เป็นพ่อไม่เคยรู้เกี่ยวกับ Yuseff ก็คือเขามักจะชอบแอบดูพี่สาวตัวเองเปลี่ยนชุด แถมตัวพี่สาวก็เต็มใจให้ดู ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ศีลอย่างยิ่ง และเขาก็ถูก Ahmed ขู่ตลอดเวลาถ้าไม่เลิกนิสัยแบบนี้ วันนึงก็จะฟ้องพ่อในที่สุด แล้ววันๆนึงขณะที่ทั้ง Ahmed และ Yuseff กำลังเดินเล่นหุบเขาเพื่อล่าพวกหมาไนเล่นๆอยู่นั้น Ahmed ก็มาโทษฝีมือการยิงปืนของเขาไม่ดีเป็นเพราะกระสุนมันด้าน เขาจึงท้ายิงไปที่รถ Ahmed ยิงรถคันนึงแล้วไม่โดน แต่ Yuseff กลับยิงไปที่รถทัวร์โดนในที่สุด และเมื่อรถทัวร์คันนั้นหยุด เขาทั้ง 2 ต่างก็ต้องวิ่งหนีไปไกลที่สุด และก็ต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับให้เงียบที่สุด
เหตุการณ์ที่ 2 ของหนังตามมาก็เริ่มที่เมกา ได้เห็นถึงเรื่องราวของแม่บ้านชาวแม็กซิกันนาม Amelia ที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กให้กับเจ้านายเธอในเวลาเดียวกัน ในช่วงที่เจ้านายของเธอออกไปพักผ่อนที่อื่น ซึ่งในช่วงเดียวกันเธอเองก็ต้องกลับประเทศ เพื่อไปร่วมงานแต่งงานลูกชายตัวเอง แต่ปัญหาเดียวก็คือ เธอยังไปไม่ได้ เพราะว่าต้องหาคนเลี้ยงเด็กแทนเธอ แรกเดิมทีเจ้านายเธอก็จะให้น้องของเมียเจ้านายมาดูแลเด็กๆ แต่พอไปพอมา น้องของเมียเจ้านายก็มาไม่ได้ เธอเองก็ต้องหาคนเลี้ยงเด็กแทนเธอ แต่ยิ่งให้คนอื่นช่วยยิ่งไม่สำเร็จ เธอจึงตัดสินใจให้เด็กๆ ไปกับเธอและหลานชายของเธอได้ และพยายามจะพาเด็กๆกลับมาในช่วงเวลาที่เร็วสุดๆหลังจากที่งานเลี้ยงเสร็จแล้ว
เหตุการณ์ที่ 3 เริ่มที่ Morroco เหมือนกับเหตุการณ์แรก เพียงแต่มันเริ่มต้นที่ในเมืองแห่งนึงที่ไม่วุ่นวาย Richard และ Susan มากับกลุ่มนักท่องเที่ยว เพื่อมาสถานที่ที่เลี่ยงความวุ่นวายมีแต่ความสงบ และจะได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ซึ่งเขาเองก็พยายามจะทำให้ช่วงเวลาของเขาและเมียเขา เป็นช่วงเวลาที่สามารถจะให้เวลาและความรู้สึกดีๆที่พวกเขาเคยมี กลับมาหาพวกเขาอีกครั้ง แต่เหมือนกับว่าการที่พวกเขามาในดินแดนแห่งนี้ พวกเขาเหมือนยิ่งว้าเหว่มากขึ้น จนกระทั่งขณะที่รถทัวร์กำลังขับอย่างนิ่งๆ Susan ก็ถูกยิงอย่างไร้เหตุ ที่ไม่มีใครคาดคิดได้ เมื่อ Richard ได้เห็นเมียของตัวเองโดนยิงต่อหน้าต่อตา มันคือกรณีที่เขาไม่สามารถจะตั้งสติได้ และไม่คิดว่าจะต้องรับมือกับมัน เขาจึงขอร้องให้ คณะทัวร์ของเขากลับไปที่เมืองที่พึ่งออกมาตะกี้นี้ เพราะต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน มันเป็นเหตุการณ์ที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เจอในการเดินทางครั้งนี้
เหตุการณ์ที่ 4 ในญี่ปุ่น เมืองโตเกียว เรื่องราวที่คนอาจจะสงสัยว่ามันไปเชื่อมโยงกับ 3 เหตุการณ์ได้อย่างไร ได้ให้เราได้พบกับ Chieko หญิงสาววัยรุ่นผู้ที่หูหนวกและเป็นใบ้ มีชีวิตแบบปกติเหมือนคนทั่วไป เพียงแต่การสื่อสารของเธอเป็นภาษาที่คนกลุ่มนึงใช้กันเท่านั้น เธอเป็นคนที่ติดกลุ่มเพื่อนเธอไม่ต่างจากสาวๆในวัยเดียวกับเธอ เธอพึ่งพบกับเรื่องที่เธอไม่คาดฝันกับการตายของแม่เธอเมื่อไม่กี่เดือน และเธอเองไม่สามารถที่จะมอบรับความรักจากพ่อของเธอเองได้ เพราะตัวเธอเองต้องการจะเรียนรู้สังคมด้วยตัวเธอง ซึงซักวันเธอเองอยากจะรักใครซักคนนึง อยากให้ใครมาสัมผัสตัวเธอ อยากให้ใครก็ได้มารักเธอ และอยากจะให้มาร่วมเพศกับเธอ มันก็เป็นเรื่องที่เธอคิดเองและอยากได้อบากสัมผัสตลอดเวลา ถึงตัวเธอจะพิการแต่ความรู้สึกเธอก็ไม่ต่างจากเด็กสาววัยเดียวกันกับเธอ
จาก 4 เหตุการณ์ ของ 3 มุมโลกที่ไกลกันเหมือนฟ้าและเหว ที่ไม่มีใครเคยคาดคิดว่าผลลัพท์ของผลกระทบครั้งนี้ จะนำไปสู่เส้นทางนั้น คือเรื่องราวที่หนังเองพยายามจะให้คนดูได้เข้าใจถึงสัจธรรมของการเชื่อมโยงและความขัดแย้งที่เป็นอุปสรรคในตัวละครของเรื่องนี้
Yuseff กับ Ahmed เด็ก 2 คนที่ซนโดยที่ไม่ได้ดูตาไม้ตาเรือ สิ่งที่พวกเขาทำไป จะนำไปสู่อะไรบ้าง
Amelia ที่ก็คิดว่าการนำเด็กที่ตัวเองรับเลี้ยงไปแม็กซิโกด้วยจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ทั้งๆที่ไม่มีทางเลือก
Richard ที่คิดว่าการพา Susan มา Morroco ด้วยครั้งนี้ จะสามารถทำให้ระลึกถึงความสัมพันธ์อันชื่อฉ่ำเก่าๆ ของพวกเข่ทั้งคู่ได้ แต่กับได้ผลกรรมที่ไม่คู่ควร
Chieko ไม่ใช่เธอหูหนวกหรือเป็นใบ้เท่านั้น แต่ตัวเธอเองอยู่ในภาวะของการสับสน และความขัดแย้งที่อยู่กับตัวเธอเอง จากคนที่ขาดความรัก ก็ต้องการใครซักคนเพื่อรับรักเธอไป และรักเธอด้วย
ตัวละครเรื่องนี้เปรียบเสมือนกับตัวจำลองสังคมบนโลกเราอย่างแท้จริง เหมือนหนังเรื่องอื่นๆที่ชิง Oscar ปีนี้ที่เล่าเรื่องในแบบจำลองสังคมและมนุษย์ได้อย่างคล้ายคลึมเล็กๆน้อยๆ ซึ่งถ้าคุณได้มีโอกาสได้ดู Little Miss Sunshine, Half Nelson, Flags of Our Fathers, Apocalypto และ Pan's Laberynth ตัวเก็งหนัง Oscar ทั้งนั้น แล้วมาดูเรื่องนี้ คุณจะเห็นว่าหนังจะเน้นประเด็นถึง สังคม มนุษย์ อารยธรรม(วัฒนธรรม) หน้าที่ และ อุดมคติของมนุษย์กันเองจริงๆ อย่าง
Little Miss Sunshine หนังพูดถึง Loser (ผู้ที่สังคมไม่ยอมรับ) ในสังคมจริงๆบนโลกนี้ ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง จากการจำลองเป็นครอบครัวบ้านนี้ ที่เป็นที่ไม่ยอมรับกันซักเท่าไหร่
Half Nelson เรื่องราวของคนที่เรียกกันว่า Nobody ที่ไม่ต่างจากโลกจริงๆที่เราอยู่นักเท่าไหร่ เพราะคนที่เป็น Nobody ก็ไม่ได้ถูกยอมรับจากสังคมเช่นกัน
Flags of Our Fathers หนังพูดถึงความรู้สึกผิดและแผลใจของทหาร 3 คน ที่รอดกลับมาจากสงคราม Iwo Jima มา จะเป็นสิ่งที่ฝังใจเขาตลอดไปตราบเท่านิรันดรณ์ ซึ่งเป็นความเจ็บปวดที่พวกเขาต้องเห็นเพื่อนตัวเองตายต่อหน้าต่อตา และไม่อาจจะลืมมันได้ ที่สำคัญหนังให้เห็นถึงความ Guilty ที่มนุษย์มีต่อมนุษย์กันเอง
Apocalypto อารยธรรม และ วัฒนธรรม ที่สาปสูญหายไปและไม่มีใครเคยนำมาเล่า แต่เหมือนได้เล่าถึงวัฒนธรรม ที่เราเองนั้นไม่คิดว่าจะได้พบ เรากลับเห็นว่า พฤติกรรมของชนเผ่ามายันนั้น ไม่ได้ต่างอะไรไปกับคนในสังคมนี้เลยซักนิด เพราะมนุษย์เราก็ยังทำตัวอำเภอในอยู่วันยังค่ำ แต่ในขณะที่มีคนอีกกลุ่มนึง ต้องการที่จะหาวิถีชีวิตที่สงบสเงี่ยมอย่างแท้ที่จริง
Pan's Laberynth ความโหดร้ายของสังคมที่แก่นแย่งชิงดีกัน ทั้งๆที่หนังพูดถึงเรื่องราวสงครามการเมืองอยู่ แต่ไม่ว่าคุณจะฆ่าแกงไปมากเท่าไหร่ หรือว่าคุณจะโหดร้ายเพียงใด ภายใต้ความโหดร้าย มันยังคงมีความดีเหลืออยู่
Babel เหมือนกับรวมเอาประเด็นของ หนังที่ผมกล่าวมา มารวมไว้ทั้งหมด หรือ Babel อาจเป็น 1 หนังเหล่านี้ ที่พูดเรื่องทางสังคมแบบนี้อย่างจริงจังก็เป็นได้ เพราะมันคือเรื่องราวของมวลมนุษย์ด้วยกันเอง ที่เราทุกๆคนแตกต่างกันในการสื่อภาษา และแม้กระทั่งคนเราเอง จะแตกหน่อเป็นหลายภาษา แต่บางทีคนในภาษาเราเอง ก็ไม่อาจจะสื่อสารกันได้เลย ทำไมน่ะหรือ??? ไม่ใช่เพราะว่า พระเจ้าสาปแช่งเราอะไรกระนั้นหรอก แต่เราเองหันมาเข้าใจกันต่างหาก เราไม่เคยรับฟังคนที่ปัญหา เราไม่เคยรับฟังคนที่มีข้อบกพร่องมากกว่าเรา แต่เราหันมาแค่สนใจตัวเองซะมากกว่า และไม่มีใครบนโลกนี้เข้าใจกันเลยซักนิด เมื่อทุกๆคนเห็นอารมณ์ตัวเองเป็นเรื่องใหญ่
ถ้า Richard ไม่พา Susan มาที่ Morroco??? มันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์อันแสนเศร้าแบบนี้
ถ้า Yuseff ไม่ยิงรถทัวร์??? เขาเองก็ไม่ไปทำให้ใครคนอื่นเดือดร้อน ไม่ทำให้ Ahmed ตาย ไม่ทำให้ครอบครัวเขา (โดยเฉพาะพ่อ) ผิดหวังในตัวเขา และไม่ทำให้เขาเสียอนาคตตามมา
ถ้า Amelia ไม่พาเด็กๆไปกับเธอ??? เธอเองก็จะไม่สูญเสียงาน ไม่สูญเสียความมั่นคงตัวเอง ไม่ถูกเนรเทศให้ออกไป และ ไม่สูญเสียการเลี้ยงเด็กๆที่เธอผูกพันธ์มานาน
ถ้าแม่ของ Chieko ไม่ตายจากไป??? Chieko ยังจะเป็นสาวน้อยที่ยังน่ารักอยู่ ถึงแม้เธอจะพิการก็ตาม
ฉนั้นผมพูดได้เต็มปากเลยว่า Babel คือหนังบทสรุปจบของ Amores Perros และ 21 Grams
เพราะจากปัญหาของคนต่างชนชั้น ก็มาสู่คนแปลกหน้า จากปัญหาคนแปลกหน้า ก็มาสู่ปัญหาของคนต่างประเทศ
ซึ่งปัญหาการเชื่อมโยงจากเกิดอุบัติเหตุของผกก. Alejandro Gonzalez Inarritu ในหนังของเขาแต่ละเรื่อง คือสัญลักษณ์ที่เราเห็นในหนังของเขาแทบทุกๆเรื่อง และมันคือปัญหาที่เลี่ยงไม่ได้
หนังเรื่องนี้นำ 4 อารยธรรมของ คน 4 ประเทศมาบรรจบกันเป็นหนังเรื่องเดียวในที่สุด ได้อย่างสร้างสรรค์และบรรเจิดที่สุด มันคือหนังที่ออกมาแบบประเภทเดียวกับ Crash หรือ Magnolia ก็จริงอยู่ แต่ในความเห็นผมว่า เรื่องนี้นำอารยธรรมต่างๆมาไว้ที่เดียวกันจนลงตัวสุดๆไปเรียบร้อยแล้ว
Alejandro Gonzalez Inarritu คือผกก.ที่นักสร้างหนังรุ่นใหม่ควรเป็นเยี่ยงอย่าง ผมคิดว่าเขาคือผกก.ที่หายากคนนึงในวงการหนังโลกจริงๆ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะออกแนวการทะเยอทะยานมากเกินไป แต่ผลงานของเขาที่ออกมานั้น สุดท้ายมันกลายเป็นผลงานที่จะต้องพิสูจน์ด้วยสายตาคุณเองเท่านั้น และเขาเองก็สามารถนำทฤษฎีการเชื่อมโยงจากอุบัติเหตุสู่บุคคลทั่วไป ได้อย่างลงตัวพิเศษ ที่ผมว่าเขาสามารถเป็นผกก.คนเดียวที่สามารถผลกระทบจากอุบัติมาสู่คนทั่วไป ได้ที่สุดแล้ว และถึงแม้ว่าผลงานของเขาเรื่องต่อไปจะทำหนังออกแนวประมาณนี้อีกหลายๆเรื่องล่ะก็ เขาเองก็คงมีไอเดียที่มาตกแต่งทฤษฎีแบบนี้ ไม่ทำให้รู้สึกจำเจมากไปแหละ
ถ้าไม่มีผขบ.คนนี้หนังของ Alejandro Gonzalez Inarritu ก็คงไม่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ Guillermo Arriaga ผขบ.คู่บุญของผกก.คนนี้ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้ลงตัวแทบทุกเรื่องในหนังของเขา ถ้าคุณรู้อินไปกับ Amores Perros รู้สึกช็อคไปกับ 21 Grams และรู้สึกทึ่งกับ Babel ผขบ.คนนี้แหละเป็นคนที่มาเติมเต็มหนังอย่างแท้ที่จริง และถ้าขาดเขาไป หนังทั้ง 3 เรื่องคงไม่เป็นหนังที่หลายๆคนชื่นชอบในที่สุด
.... ขณะดูหนังเรื่องนี้ผมมีความรู้สึกคิดถึงหนังเหล่านี้ขึ้นมาทันที (Crash/Magnolia/Traffic/Brokeback Mountain/Lost In Translation) โดยเฉพาะส่วนเรื่องญี่ปุ่นนั้น เหมือนเป็นผีร้ายจากเรื่อง Lost In Translation ที่ยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่ในช่วงเวลานี้ก็จริงอยู่ และเหมือนกับ Tagline จากหนังเรื่องนั้นก็ยังตามาหลอกหลอนอยู่ "Everybody Wants To Be Found?" หรือแม้กระทั่งส่วนที่เป็นความลับของหนัง ก็คล้ายๆกับ Lost In Translation ซะด้วย ทำให้รู้สึกว่าในขณะที่เราอยู่กับ Chieko เราเหมือนคิดถึงในบรรยากาศเก่าๆที่เราเคยชม Lost In Translation อย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ โดยรวมแล้ว ผมว่า Chieko ในหนังเรื่องนี้ เหมือนเป็น Scarlet Johanson ในหนังเรื่องนี้ อย่างไม่ต้องสงสัยเลย แต่คนอาจจะสงสัยว่า ทำไมผมไปนึกถึง Brokeback Moutain ด้วย ก็เพราะว่าช่วงเวลา Yoseff และ Ahmed เป็นช่วงเวลาที่หนังเล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ จนให้เรารู้สึกสงบเล็กๆ ผมว่ามันทำให้คล้ายๆใน Brokeback Mountain แบบที่ Jack และ Elmer อยู่ด้วยกันอย่างว้าเหว่ ผมว่าส่วนของ2พี่น้องนี้ มันเป็นช่วงเวลาสงบจริงๆ
นักแสดงของเรื่องผมว่าเล่นดีแทบทุกๆคน แต่ผมขอชื่นชม 3 คนนี้ละกัน
- Brad Pitt ผมว่าตั้งแต่ผมยังเด็กจนผม 19 เต็มที่แล้ว ผมรู้สึกว่ามีอยู่ 3 เรื่องที่ผมประทับใจตัวเขาจริงๆ Legend of The Fall, Se7en และ Fight Club แต่กลับบทบาท Richard ในหนังเรื่องนี้ ผมพูดได้เต็มปากอีกครั้งว่า ทุกๆครั้งที่เขาออกมาการแสดงของเขาก็ต่อยกับการแสดงนักแสดงคนอื่นๆได้อย่างหนักแน่นจริงๆ แล้วผมเองก็ไม่ได้เคยเห็น Pitt จะต้องไม่อยู่ในวิกฤษสิ้นแบบที่เป็น Richard จริงๆ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกก็ได้ที่เราได้เห็น Pitt ได้สิ้นหวังสุดๆ จนเราเห็นใจเขาอย่างมาก ยิ่งตอนโทรศัพท์หาลูกเขา (ซีนอาจจะทำให้ผมนึกถึง Eric Bana ใน Munich) ผมกลับรู้สึกว่าเขาแสดงได้น่าสงสารจริงๆ
- Adriana Barraza ผมว่าพี่เลี้ยงที่เป็นชาวแม็กซิกันก็คงไม่ต่างจากเธอแน่ๆ เพราะว่าคนที่เป็นพี่เลี้ยงและเป็นแม่บ้านพร้อมกัน ก็ไม่ต่างจากลักษณะของเธอ ที่ผูกพันธ์กับคนที่เลี้ยงมาตั้งแต่เกิด ต้องมาทำงานบ้านขนชินไปแล้ว เนี๊ยแหละที่ผมว่าธรรมชาติของแม่บ้าน และ พี่เลี้ยงจะเป็นคนแบบนี้ แต่ในขณะที่ตัวละครจะต้องเจอเรื่องที่ไม่คาดฝัน เธอเองก็ทำให้เรารู้สึกสงสารขึ้นมาทันทีโดยที่ไม่ต่างจาก Richard ซัดเท่าไหร่ แต่ได้เห็นความหมายของการสูญเสียแล้วแหละว่า มันก็เป็นแบบที่เธอได้รับบทสรุปของหนัง
- Rinko Kikuchi เธอคนนี้เป็นเหมือนนางฟ้าของหนังได้เลย แล้วการแสดงทุกๆครั้งของเธอที่โผล่มาแทบทุกซีนก็กินขาดสุดๆแล้วล่ะครับ แถมเธอนี่เล่นแบบมอบวิญญาณให้จริงๆครับ เป็นนักแสดงดาวรุ่งที่ทำให้เราได้เห็นแจ้งแล้วว่า เธอทุ่มตัวสุดๆ ทุกๆด้านให้กับหนังจริงๆ ซึ่งปกติผมไม่ได้เห็นนักแสดงเชื้อสายญี่ปุ่นที่เล่ยแล้วประทับใจแบบนี้ตั้งแต่ Ken Watanabe ใน The Last Samurai ผมคิดว่า Rinko เหมาะที่จะได้รับบทแนวอินเตอร์แบบนี้บ่อยๆ เธอเล่นแบบว่าเกินคำบรรยายจริงๆ
ฉนั้นผมคิดว่า ไม่ว่าใครจะว่า Babel เป็นหนังยังไง สำหรับผม ผมว่านี่คือหนังที่เหมาะกับรางวัล Oscar อย่างแท้จริงๆ นี่คือหนังที่ผมว่า เป็นหนังที่เล่าความจริงของผลกระทบของคนทั่วโลกที่เชื่อมโยงโดยตรงและทางอ้อมอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เราใช้ต่างภาษาเท่านั้น แต่เราได้หลงทางในห้วงกินแดนสนธยาไปอย่างหนักแบบไม่รู้ตัวเรียบร้อยแล้ว และก็มันยังไม่สายเกินไปที่เราจะหันมาเข้าใจกัน (ถึงเราจะต่างภาษา) แต่เราจะจริงจังกันรึเปล่า? นี่คือคำถามที่หนังถามเราตั้งแต่ต้นจนจบ ฉนั้น Babel กลายเป็นหนังอีกเรื่องที่ผมชอบมากที่สุดประจำปีนี้ไปแล้ว
COMMENTS